-->

หน้าเว็บ

แนวคิดเรื่องเวลา: จากอริสโตเติลถึงไอน์สไตน์

แนวคิดเรื่องเวลา: จากอริสโตเติลถึงไอน์สไตน์


แนวคิดเรื่องเวลาเป็นหนึ่งในประเด็นพื้นฐานที่มนุษยชาติให้ความสนใจและพยายามทำความเข้าใจมาอย่างยาวนาน ข้อถกเถียงเกี่ยวกับธรรมชาติของเวลามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมมองทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน นักคิดและนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้นำเสนอแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจและความก้าวหน้าทางองค์ความรู้ของมนุษย์ (Curiosity Channel คนช่างสงสัย, 2022). บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของแนวคิดเรื่องเวลาตามทัศนะของสามบุคคลสำคัญได้แก่ อริสโตเติล ไอแซค นิวตัน และอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

อริสโตเติล: เวลาในฐานะการวัดการเปลี่ยนแปลง

นักปราชญ์ชาวกรีกโบราณอย่างอริสโตเติล (ราว 1,700 ปีก่อนคริสตกาล) มองว่า เวลาไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่โดยเอกเทศ แต่เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เวลาคือการนับจำนวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลยในเอกภพ เวลาก็จะหยุดนิ่งตามไปด้วย แนวคิดนี้ผูกติดเวลาเข้ากับปรากฏการณ์ทางกายภาพและการเคลื่อนไหวในธรรมชาติอย่างแยกไม่ออก


ไอแซค นิวตัน: เวลาสัมบูรณ์และเป็นอิสระ

ในศตวรรษที่ 17 ไอแซค นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้นำเสนอแนวคิดที่แตกต่างออกไป นิวตันมองว่าเวลาเป็นสิ่งสัมบูรณ์และเป็นอิสระจากสรรพสิ่งในเอกภพ เวลาเปรียบเสมือนฉากหลังอันกว้างใหญ่ที่การเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น เวลาไหลไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอและไม่เปลี่ยนแปลง โดยไม่ขึ้นอยู่กับการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของสสารและการเคลื่อนที่ใดๆ แนวคิดเวลาสัมบูรณ์ของนิวตันนี้ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของวิชากลศาสตร์คลาสสิกและวิทยาศาสตร์ยุคใหม่เป็นเวลากว่าสองศตวรรษ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์: เวลาสัมพันธ์กับอวกาศและพลังงาน

จุดเปลี่ยนที่สำคัญในความเข้าใจเรื่องเวลาเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 เมื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน-อเมริกัน ได้นำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ไอน์สไตน์ท้าทายแนวคิดเวลาสัมบูรณ์ของนิวตัน โดยชี้ให้เห็นว่าเวลาไม่ได้แยกขาดจากอวกาศ แต่ทั้งสองเชื่อมโยงกันเป็นโครงสร้างเดียวกันที่เรียกว่า "กาลอวกาศ" เวลาจึงไม่ใช่แกนเดียวที่ไหลอย่างสม่ำเสมอ แต่เป็นมิติหนึ่งของกาลอวกาศที่มีความสัมพันธ์กับมิติของอวกาศ

ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ อัตราการไหลของเวลาขึ้นอยู่กับความเร็วของผู้สังเกตการณ์ ยิ่งวัตถุเคลื่อนที่เร็วเข้าใกล้ความเร็วแสงเท่าใด เวลาก็จะยิ่งเดินช้าลงเท่านั้น (ปรากฏการณ์ Time Dilation) ส่วนในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ไอน์สไตน์อธิบายว่ามวลและพลังงานสามารถบิดโค้งโครงสร้างของกาลอวกาศได้ ซึ่งการบิดโค้งนี้เองที่เราเข้าใจว่าเป็นแรงโน้มถ่วง นอกจากนี้ การบิดโค้งของกาลอวกาศยังส่งผลต่ออัตราการไหลของเวลาด้วย โดยเวลาจะเดินช้าลงในบริเวณที่มีความโน้มถ่วงสูง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบันคือการทำงานของระบบ GPS ที่ต้องมีการคำนวณปรับแก้เวลาของนาฬิกาบนดาวเทียมเพื่อให้ตรงกับเวลาบนโลก ซึ่งเป็นการยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีไอน์สไตน์

บทสรุป

จากแนวคิดของอริสโตเติลที่มองเวลาเป็นการวัดการเปลี่ยนแปลง สู่นิวตันที่มองเวลาเป็นสิ่งสัมบูรณ์ และมาถึงไอน์สไตน์ที่แสดงให้เห็นว่าเวลาเป็นมิติหนึ่งของกาลอวกาศที่ยืดหดได้และสัมพันธ์กับมวลและความเร็ว สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของความเข้าใจในธรรมชาติของเวลา การศึกษาและตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเปิดเผยแง่มุมที่ซับซ้อนและน่าทึ่งของเวลา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจเอกภพและปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

แหล่งที่มา:

Curiosity Channel คนช่างสงสัย. (2022, June 12). The order of time EP 04 : เวลาคืออะไร (ตอบโดย อริสโตเติล , นิวตัน และ ไอน์สไตน์) [Video]. YouTube. http://www.youtube.com/watch?v=vHeYtAgtmrk

The order of time EP 04 : เวลาคืออะไร (ตอบโดย อริสโตเติล , นิวตัน และ ไอน์สไตน์)

Curiosity Channel คนช่างสงสัย